ภาษาที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม (Programming Language)
1. ภาษาเครื่องจักร (Machine Language) หรือ
ภาษาในยุคที่ 1 (First-Generation Language)
ซึ่งลักษณะการเขียนจะใช้เลขฐานสอง (Binary digits)
ซึ่งประกอบด้วยเลข 0 กับเลข 1 และมีการนำมาเขียนโปรแกรมเป็นลักษณะของโปรแกรมประยุกต์ใช้เฉพาะงาน
คำสั่งที่ใช้จะเป็นบวก ลบ คูณ หาร การคำนวณจะช้า
และจะต้องอาศัยนักโปรแกรมเป็นคนปฏิบัติ
2. ภาษาแอสแซมบลีหรือเบลอร์ (Assembly or Assembly Language)
หรือภาษาในยุคที่ 2 (Second Generation Languages)
มีตัวแปลภาษาชื่อ Assembler จัดเป็นภาษาสัญลักษณ์
ตัวแปลจะทำหน้าที่การแปลคำสั่งที่คล้ายภาษาอังกฤษให้เป็นภาษาเครื่อง
ตัวอย่างที่ใช้คำนวณ เช่น x = y+z
-ข้อดีคือ
ใช้ตัวอักษรพิมพ์ง่ายต่อการจดจำและการแทนที่
และมีใช้อย่างกว้างขวางในแวดวงอุตสาหกรรม
-ข้อเสียคือ
ยากต่อการเรียนรู้
3. ภาษาระดับสูง (High-Level Language)
หรือภาษาในยุคที่ 3 (Third-Generation Languages)
มีตัวแปลภาษาชื่อ Compilers or Interpreters เช่น BASIC,FORTRAN
and COBOL ภาษาในยุคนี้ใช้รูปแบบของภาษาอังกฤษมากขึ้น เช่น คำสั่งเรียกข้อมูล
(Sort) คำสั่งพิมพ์ (Print)
โดยผู้เขียนโปรแกรมไม่จำเป็นต้องรู้จักตัวเลขฐานสอง
-ข้อดีคือ
ง่ายต่อการเรียนรู้
-ข้อเสียคือ
มีประสิทธิภาพน้อยน้อยกว่าภาษา Assembly
4. ภาษาในยุคที่4 (Fourth-Generation Language)
ประกอบด้วยเครื่องมือที่เป็นซอฟต์แวร์จำนวนมาก เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ประยุกต์โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านเทคนิคมากนัก
ภาษาในยุกต์นี้เป็นภาษาที่เคร่งครัดลำดับขั้นตอนน้อยกว่าภาษาในยุคที่3 (Non-Procedural
language) คือ
เพียงแต่ผู้เขียนโปรแกรมออกคำสั่งว่าต้องการให้คอมพิวเตอร์ทำงานอะไร โดยไม่จำเป็นต้องบอกว่าทำได้อย่างไร
ทำให้ภาษาในยุกต์นี้มีความกะทัดรัดมากกว่าเขียนได้ง่ายกว่า
และมีความผิดพลาดน้อยกว่า ตัวอย่างภาษาในยุคที่4 เช่น ภาษา SQL (Structure Query Language) และ ภาษาธรรมชาติ (Natural
Language) เป็นภาษาที่ใช้คำพูดของมนุษย์เขียนลงไปได้เลย
-ข้อดีคือ
ใช้งานง่าย ภาษาเขียนไม่ซับซ้อน
-ข้อเสียคือ
มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นบ่อยขณะประมวลผล
5. พื้นฐานของการโปรแกรมเชิงวัตถุ (Object-Oriented Programming Language : OOP) ส่วนสำคัญของโปรแกรมนี้มี 2 ส่วน คือ คลาส (Class)
และคุณสมบัติการสืบทอด (Subclass) คำสั่งในโปรแกรมไม่ได้ถูกเขียนขึ้นมาสำหรับอ๊อบเจ๊คแต่ละตัว
แต่เขียนสำหรับแต่ละคลาส ซึ่งเปรียบเสมือนคุณสมบัติสำหรับทุกอ๊อบเจ๊ค ดังนั้น
อ๊อบเจ็คของทุกตัวที่อยู่ในคลาสเดียวกัน
จึงมีคุณสมบัติและความสามารถเหมือนกันทุกประการ
โครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคลาสเป็นแบบความสำพันธ์ตามลำดับชั้น
(Hierarchical)
เป็นซุปเปอร์คลาส (Super class) และซับคลาส (Subclass) ตัวอย่างเช่น คลาสของรถยนต์มาจาก ซุปเปอร์คลาสยานพาหนะ
ซึ่งคลาสรถยนต์อาจถูกนำไปสร้าง ซับคลาสรถยนต์โตโยต้า เป็นต้น หรืออาจเรียกว่า OOP
เป็นภาษายกเอาวัตถุเป็นที่ตั้ง ใช้งานง่าย มีการใช้ GUL เช่น Windows ทีการใช้ “point and click” และ “drag and drop” เช่น การใช้โปรแกรม Visual
Basic
6. ภาษาที่ใช้ในการเขียนเว็บไซต์และบริการ
(Web Languages and Services)
-HTML and ภาษา HTML (Hypertext Markup Language) and Java เป็นภาษาที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมแบบใหม่ ใช้สร้าง Multimedia, Web
pages and Web sites เช่น Microsoft FrontPage, Netscape
Communicator และ Adobe Page Mill
-XML (extensible Markup
Language) เป็นการอธิบายเนื้อหาของเว็บเพจ
ซึ่งรวมทั้งการออกแบบเอกสารทางธุรกิจ สำหรับการใช้งานบนเว็บไซต์ เช่น
ตัวแทนการท่องเที่ยวจัดทำเว็บไซต์ของสายการบินขึ้นมา ก็จะมีเนื้อหาของเว็บไซต์ คือ
ชื่อของสายการบิน ตารางการบิน เป็นต้น
-JAVA จาวาเป็นภาษา OOP ชนิดหนึ่ง สำหรับใช้เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่มีคุณสมบัติอิสระต่อเครื่องคอมพิวเตอร์
(Machine-Independent) พัฒนาขึ้นโดย Sun Microsystems
มีพื้นฐานมาจาก C++ และ C ในภาษา JAVA จะมีโปรแกรมเล็กๆที่เรียกว่า applets
สามารถใช้เขียนโปรแกรมได้บนคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง และทุก Operating
Systems บน Network
-Web Service การบริการบนเว็บ
เป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งของซอฟต์แวร์
ที่มีขอบข่ายงานเกี่ยวกับการเชื่อมโยงการบริการบนเว็บไซต์ เช่น
บริการเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ที่ทำธุรกิจ แลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน เช่น
บริษัทธุรกิจ สามารถเชื่อมโยงกับลูกค้า ร้านค้า และหุ้นส่วนทางธุรกิจได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น